วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

พลู (BETLE LEAF)


ชื่อวิทยาศาสตร์ : Piper betle Linn.

วงศ์ : Piperaceae

ชื่อท้องถิ่น : ใบพลู(ภาคใต้) เปล้าอ้วน ซีเก๊าะ (มลายู - นราธิวาส) พลูจีน (ภาคกลาง)พลูเป็นไม้เลื้อย มีข้อ และมีปล้องชัดเจน ใบเดี่ยวติดกับลำต้น

ส่วนที่ใช้เป็นยา : ใบสด

ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา : เก็บช่วงที่ใบสมบูรณ์เต็มที่

รสและสรรพคุณยาไทย : รสแผ็ดร้อนเป็นยาฆ่าเชื้อโรค ขับลม ใช้ใบพลูตำกับเหล้าทาบริเวณที่เกิดเป็นลมพิษหายได้ ใช้รับประทานกับหมากและปูนแดง

วิธีใช้ : ใบพลู ใช้เป็นยารักษาอาการแพ้ อักเสบแมลงสัตว์กับต่อยได้ผลดีมาก กับอาการแพ้ในลักษณะลมพิษ โดยการนำใบพลูสัก 1-2 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าโรงทาบริเวณที่เกิดลมพิษห้ามใช้กับแผลเปิดจะทำให้เกิดอาการแสบมาก

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ : ใบพลูมีน้ำมันหอมระเหย ประกอบไปด้วยChavicol ,Chavibitol , cineol eugenoi carvacrol B-sitosterolและที่อื่นๆสารเหล่านี้มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคได้ ทำให้ปลายประสาทชา แก้อาการคันได้ดีจากสารประกอบอาจจะเป็นสารพวกB-sitosterolที่ช่วยในการลดอาการอักเสบ

บอระเพ็ด


ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tinospora crispa (L.) Miers ex Hook.f. & Thoms.
Tinospora rumphii Boerl.
Tinospora tuberculata Beaumee

วงศ์ : Menispermaceae

ชื่อท้องถิ่น : จุ่งจริงตัวแม่, เจ็ดมูลย่าน, เจ็ตมูลหนาม, จุ่งจิง, เครือเขาฮ่อ , ตัวเจ็ตมุลย่าน, เถาหัวด้วน ,เจ็ตหมุนปลูก

ลักษณะทางพฤกษาศาสตร์ :
1. ลำต้นเป็นพันธุ์ไม้เถาเลื้อย เถากลมโตขนาดนิ้วมือ ประมาณ 1-1.5 ซม เถาอ่อนผิวเรียบสีเขียว เถาแก่สีน้ำตาลอมเขียว ผิวขรุขระ เป็นปุ่มๆ ยางมีรสขมจัด ขึ้นเกาะต้นไม้อื่น มักจะมีรากอากาศคล้ายเชือกเส้นเล็กๆ ห้อยลงมาเป็นสาย

2. ใบเป็นใบเดี่ยว รูปใบพลูหรือรูปหัวใจ โคนใบหยักเว้า มีเส้นใบ 5-7 เส้นที่เกิดจากจุดโคนใบ

3. ดอก ออกดอกเป็นช่อตามกิ่งแก่ตรงบริเวณซอกใบหรือปลายกิ่ง ดอกขนาดเล็กสีเหลืองอมเขียว,
แดงอมชมพู, เขียวอ่อน, เหลืองอ่อน ช่อดอก ยาว 5-20 เซนติเมตร ประกอบด้วยกลีบดอก กลีบเลี้ยงอย่างละ 6 กลีบ

4. ผลมีลักษณะเป็นรูปไข่ กลมรี สีเหลืองถึงแดง ขนาด 2-3 ซม. มีเนื้อเยื่อบางๆหุ้มเมล็ด

สรรพคุณทางยา : มีการใช้บอระเพ็ดเป็นยาสมุนไพร สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุงกำลัง บำรุงไฟธาตุ ช่วยเจริญอาหาร รักษาโรคฝีดาษ โรคไข้เหนือ โรคไข้พิษทุกชนิด ใบ รักษาพยาธิในท้อง รักษาฟัน ตำให้ละเอียดพอกฝี แก้ฟกช้ำ ปวดแสบปวดร้อน ผล เป็นยารักษาโรคไข้พิษอย่างแรงและเสมหะเป็นพิษ รักษาโรคทางเดินปัสสาวะ โรคโลหิตพิการ

สะระแหน่(MINT)


ชื่อวิทยาศาสตร์ : Metha cordifolia Opiz.

ชื่อวงศ์ : Labiatae

ชื่อสามัญ : Kitchen Mint, Marsh Mint

ชื่อท้องถิ่น : หอมด่วน หอมเดือน (ภาคเหนือ), มักเงาะ สะแน่ (ภาคใต้), สะระแหน่สวน (ภาคกลาง), ขะแยะ (อีสาน)

ลักษณะ : สะระแหน่เป็นพืชล้มลุกเลี้อยตามพื้นดิน ลำต้นสีแดงเข้ม ใบกลมขนาดหัวแม่มือ ใบค่อนข้างหนา ริมใบหยักโดยรอบ ภายในใบเป็นคลื่นยับย่น และมีกลิ่นหอม

ส่วนที่ใช้ : ใบ

สรรพคุณ : สะระแหน่นั้นมีสรรพคุณมากมาย เช่น เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ รักษาอาการ หวัดได้ และยังสามารถแก้อาการ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ และหากนำน้ำ ที่คั้นจากต้น และใบมาใช้ดื่ม ก็จะช่วยขับลมในกระเพาะได้ หรือใครจะกินสดๆ เพื่อดับกลิ่นปากก็ยังได้ นอกจากนี้ การบริโภคสะระแหน่ ยังช่วยให้สมองปลอดโปร่ง โล่งคอ ป้องกัน ไข้หวัด บำรุงสายตา และช่วยให้หัวใจแข็งแรง
สารสำคัญที่พบ : ใบและลำต้นมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วยสารเมนทอล (Menthol) ไลโมนีน (Limonene) นีโอเมนทอล (Neomenthol) เป็นต้น

สารอาหาร : สะระแหน่นั้นมีสารอาหารหลายอย่าง เช่น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินบี 1 2 วิตามินซี ปัจจุบันได้สกัดสารจากสะระแหน่ในการลูกอมสะระแหน่ไว้ใช้อม หรือที่เรียกว่า ลูกอมมินต์

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ว่านหางจระเข้ (ALOE VERE )


ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Aloe vera Linn.

วงศ์ : Liliaceae

ชื่อเรียกตามภาษาท้องถิ่น : ภาคกลางเรียก ว่านหางจระเข้ ภาคเหนือเรียก ว่านหางจระเข้ ภาคอีสานเรียก ว่านหางจระเข้,ว่านแข้,หว่านตะแข่,หว่านตะเข้ เขมรในถิ่นไทยเรียก ประเตียล,กระปือ ภาคใต้เรียก หว่านเข้

ส่วนที่นำมาใช้มี 2 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1. ยางจากใบ โดยการทำให้แห้งเป็นก้อน เรียกว่า ยาดำ นำมาใช้เป็นยาระบาย
ส่วนที่ 2. ส่วนที่เป็นวุ้น

สารที่มีประโยชน์ : สารอะโลอิน (aloin) และสารอื่นๆ มีฤทธิ์ยับยั้งเอ็นไซม์ ไทโรซิเนส (tyrosinase) ซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง

สรรพคุณทางยา : ส่วนที่เป็นวุ้น
1.ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อ ช่วยสมานห้ามเลือด ระงับปวด
2.รักษาโรคผิวหนัง,แผลเรื้อรัง,เริม,งูสวัด
3.ลบรอยแผลเป็น, แก้ผื่นคันจากการแพ้สารต่างๆ
4. แก้ขี้เรื้อนกวาง,ผื่นปวดแสบปวดร้อน,แก้พิษแมลง,แมงกะพรุน,ใบตำแย
5.รักษาโรคกระเพาะอักเสบ,ท้องผูก,บำรุงร่างกาย,ขับพิษ

ภูมิปัญญาชาวบ้าน : ไฟใหม้ น้ำร้อนลวก ใช้วุ้นทาเพื่อป้องกันรอยแผลเป็น

โหระพา(SWEET- BASIL)


ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum basilicum Linn.

วงศ์ : LABIATAE

ชื่อท้องถิ่น : อิ่มคิมขาว (ฉาน-แม่ฮ่องสอน)

ลักษณะทางพฤกษาศาสตร์ : เป็นไม้ล้มลุก สูง 0.5-1 เมตร ลำต้นเป็นสี่เหลี่ยม กิ่งอ่อนสีม่วงแดง
- ใบ ใบเดี่ยว รูปไข่หรือรูปรี กว้าง 3-4 เซนติเมตร ยาว 4-6 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมน ขอบจักเป็นฟันเลื่อยห่างๆ
- ดอกสีขาวหรืดชมพูอ่อน ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ยาว 7-12 เซนติเมตร ใบประดับสีเขียวอมม่วงจะคงอยู่เมื่อเป็นผล กลีบดอกโคยเชื่อมกัน ปลายแยกเป็น 2 ส่วน เกสรตัวผู้ 4 อัน
- ผล ขนาดเล็ก

สรรพคุณทางยา : ใบสด มีน้ำมันหอมระเหย เช่น methyl chavicol และ linalool ฯลฯ ขับลมแก้ท้องอืดเฟ้อ ใช้เป็นอาหาร แต่งกลิ่นอาหาร แต่งกลิ่นสำอางบางชนิด เมล็ดเมื่อแช่น้ำจะพองเป็นเมือก เป็นยาระบาย เนื่องจากไปเพิ่มจำนวนกากอาหาร (bulk laxative)

สะเดา(MAGOSA)


ชื่อวิทยาศาสตร์ : Azadirachta indica A. Juss. var. siamensis Val.

ชื่อวงศ์ : Meliaceae

ชื่อสามัญ : SIAMESE NEEM TREE

ลักษณะทั่วไป : สะเดา เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ขึ้นได้ในป่า หรือปลูกไว้ตามบ้าน เปลือกของต้นมีสีน้ำตาลเทาหรือเทาปนดำ แตกระแหงเป็นร่องเล็กๆ ใบเป็นช่อแบบขนนก ใบย่อยรูปใบหอก ขอบใบหยักใบออกเรียงกัน ตรงปลายกิ่งสะเดา จะผลิใบใหม่ พร้อมผลิดอกออกเป็นช่อสีขาว ทุกส่วนของสะเดามีรสขม นำยอดอ่อนและดอกสะเดาลวกน้ำร้อน 2 ครั้ง เพื่อให้หายขม รับประทานเป็นอาหารประจำครอบครัวในช่วงฤดูหนาว เพราะดอกสะเดาจะออกช่อในฤดูหนาว ปัจจุบันเราสามารถรับประทานสะเดาได้ตลอดทั้งปี โดยใช้ยอดอ่อนรับประทานแทนดอกรสชาติอร่อยพอกัน สะเดามี 2 ชนิด คือ ชนิดขม และชนิดมัน โดยจะสังเกตได้จากยอดอ่อน สะเดาชนิดขมจะมียอดอ่อนสีแดง ส่วนสะเดาชนิดมันจะมียอดอ่อนสีขาว
สรรพคุณทางยา : ทุกส่วนของสะเดาสามารถนำมาทำเป็นยาได้
1. ยอดและดอกสะเดา สามารถช่วยเจริญอาหารได้ เพราะใบสะเดามีสารที่มีรสขม คือ NIMBIDIN ช่วยกระตุ้นทำให้น้ำย่อยออก จึงทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น
2. ใบสะเดานำมาตำทำเป็นยาพอกฝี
3. ดอกใช้แก้พิษเลือดกำเดา
4. ผลใช้บำบัดอาการโรคหัวใจเต้นผิดปกติ
5. ราก ช่วยแก้เสมหะ เปลือกรากรักษาไข้ตัวร้อน นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนผสมกำจัดแมลงที่เป็นศัตรูพืชได้อีกด้วย

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ต้มยำปลาทูสด


เครื่องปรุง
ปลาทูสด 5 ตัว
ขิงอ่อนซอย(ไม่ใส่ก็ได้) 2 ช้อนโต๊ะ
ต้นหอมหั่นท่อนยาว 5 ต้น
รากผักชี 3 ราก
หอมเล็ก 5 หัว
พริกไทยล่อน 10 เม็ด
กะปิ 2 ช้อนชา
พริกชี้ฟ้าแดงหั่นแว่น 2 เม็ด
น้ำตาลปี๊บ 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะขามเปียก 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 3 ถ้วย
ผักชีโรยหน้า

วิธีทำ
1. โขลกรากผักชี พริกไทย หอมแดง กะปิรวมกัน พักไว้
2. ตั้งน้ำเปล่าให้เดือด ใส่เครื่องปรุงที่โขลกไว้ลงไป คนให้ละลาย ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำตาล น้ำปลา เมื่อหม้อเดือดแล้วใส่ปลาทูที่เตรียมไว้ (ล้างเมือกปลาทูออกด้วยน้ำเกลือ อย่าลืมควักไส้ออกด้วย) ลงไปในหม้อ ทันทีที่ใส่ปลาทูลงไปในหม้อ ให้เบาไฟทันที เพราะหากต้มด้วยน้ำที่กำลังเดือดจะทำให้เนื้อปลาทูแตก เปื่อย ไม่สวย
3. ปิดหม้อไว้ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ ประมาณ 20 นาที
3. เมื่อปลาสุกให้ใส่ขิงซอย ต้นหอม พริกชี้ฟ้าแดง ปิดไฟ ตักใส่ชาม

แกงส้มดอกแคปลาช่อน


เครื่องปรุง
ปลาช่อน 1 ตัว
น้ำพริกแกงส้ม 1 ถ้วย
น้ำเปล่า 1-2 ถ้วย
ดอกแค (พอประมาณ)
น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
กะปิ 1 ช้อนชา

วิธีทำน้ำพิกแกงส้ม
นำพริกแห้งที่แช่น้ำให้นิ่ม หอมแดง ตะไคร้ เกลือป่น กะปิ ใส่ครก โขลกให้ละเอียด

วิธีทำ
1. เอาเกสรดอกแคออกแวล้างให้สะอาด
2. นำปลาช่อนมาทำความสะอาดขอดเกล็ดตัดหัวออก และหั่นส่วนตัวเป็นชิ้น ๆ หนาประมาณ 1-11/2 นิ้ว
3. นำน้ำพริกแกงละลายน้ำใส่หม้อ ปิดฝาให้สนิท ตั้งไฟจนเดือด ใส่ปลาช่อนลงในหม้อ รอให้ปลาสุก
4. พอน้ำแกงเดือด ใส่ดอกแคที่เตรียมไว้ลงไป รอให้เดือด พอดอกแคยุบตัว ปรุงรสด้วยน้ำปลา
น้ำมะขามเปียก น้ำตาล ตามแต่ชอบ ปิดฝาให้สนิท ตั้งไฟต่ออีกประมาณ 5 นาที เส็จแล้วตักเสิร์ฟได้ทันที

*กินแกงส้มดอกแคขณะกำลังร้อนๆจะอร่อยมากๆค่ะ

ฟักทองผัดไข่


เครื่องปรุง
ฟักทอง 250 กรัม
กระเทียมกลีบเล็ก 3-4 กลีบ
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1/2 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาล 1/3 ช้อนโต๊ะ

น้ำซุป 3-4 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น
ไข่ไก่ 1 ฟอง
ใบโหระพา 1 กำมือ


วิธีทำ
1. ฟักทองเอาไส้และเมล็ดออกให้หมด จากนั้นก็นำไปล้างให้สะอาดแล้วปอกเปลือกออก แต่ไม่ต้องเกลี้ยงเกลามาก เสร็จแล้วก็หั่นเป็นชิ้นหนาประมาณ 1 ซม. ถ้าหั่นบางมากตอนผัดเสร็จจะเละแต่ถ้าหั่นหนามาก กว่าจะสุกจะกินเวลานาน ส่วนกระเทียมก็บุบให้แตก โหระพาเด็ดใบแล้วแช่น้ำเย็นไว้

2. นำกระทะตั้งไฟกลาง ใส่น้ำมันพืชลงไป พอน้ำมันร้อนกระเทียมลงผัดพอส่งกลิ่นหอม ใส่ฟักทองลงไปผัดรวมกัน เติมน้ำซุปแล้วปิดฝากระทะอบให้ฟักทองสุกประมาณ 5-6 นาที

3. เมื่อฟักทองสุกแล้ว ตอกไข่ใส่ลงไป ใส่น้ำมันหอย น้ำปลา น้ำตาล และพริกไทย ผัดให้เข้ากันจนไข่สุก ชิมรสตามชอบแล้ว ใส่ใบโหระพาลงไปคน 3-4 ครั้ง ตักใส่จานเสิร์ฟได้ทันที

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

แกงขี้เหล็ก


เครื่องน้ำพริก
1. พริกแห้ง 25 กรัม
2. กระเทียม 25 กรัม
3. ตะไคร้ 15 กรัม
4. กะปิ ½ ช้อนโต๊ะ
5. หัวหอม 25 กรัม
6. ข่า 1 ช้อนชา
7. กระชาย 125 กรัม
8. เกลือ ½ ช้อนโต๊ะ

เครื่องปรุง

1. เนื้อหมู 500 กรัม
2. น้ำปลาร้า ¼ ถ้วย
3. ใบและดอกขี้เหล็กต้ม 3 ถ้วยตวง
4. มะพร้าวขูด(คั้นหัว 3 ถ้วย หาง 6 ถ้วย)
5. น้ำปลา ¼ ถ้วย
6. น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. โขลกส่วนผสมของเครื่องน้ำพริกให้ละเอียด พักไว้
2. ต้มปลาร้าใส่น้ำ 1/2 ถ้วย ตั้งไฟให้เดือด กรองก้างออก
3. ต้มใบและดอกขี้เหล็กให้สุก เทน้ำทิ้งแล้วต้มใหม่อีกครั้ง เทน้ำทิ้ง บีบน้ำออกให้หมด หั่นพอหยาบ ๆ (เฉพาะใบ) พักไว้
4. หั่นเนื้อชิ้นโตๆ 3 - 4 ชิ้น ย่างให้สุก นำมาหั่นชิ้นบางๆ ตามขวาง
5. เคี่ยวหัวกะทิให้แตกมัน นำน้ำพริกลงผัดให้หอมและแตกมัน ใส่เนื้อลงผัดให้ เข้ากัน ตักใส่หม้อเติมหางกะทิตั้งไฟให้เดือด ใส่ขี้เหล็ก ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำปลาร้า น้ำตาล พอเดือด ชิมรส สุกยกลง

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

แจ่วด้าน หรือ แจ่วเอือดด้าน



เครื่องปรุง

1. พริงแห้ง

2. หอมแดง

3. มะแข่น (พริกพราน)

4. น้ำปลา

5. น้าตาล


อุปกรณ์

1. กระทะ

2. ครก และ สาก


วิธีทำ

1. นำพริก และหอมแดงไปคั่วในกระทะให้พอหอม ตักออกพักไว้ให้เย็น
2. นำพริก หอมแดง และพริกพราน ใส่ครก ตำให้เข้ากันละเอียดปานกลาง แล้วตักใส่ถ้วย
3. ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาล ตามชอบ
เพียงง่ายๆเท่านี้ก็ได้เครื่องจิ้มที่แสนอร่อยสำหรับรับประทานกับ เนื้อสัตว์ทั้งต้ม ทอด หรือย่างก็ได้